หนัง Tenet - เทเน็ท
หนัง Tenet - เทเน็ท
หนังสนุกนะ ยิ่งคุยกันหลังหนังจบยิ่งโคตรสนุก (และโคตรงง)
มันคือความสนุกแบบงงๆ และไม่เข้าใจในหลายจุดเลย
ก่อนอื่นเลย ขอบอกไว้ก่อนว่ารีวิวนี้ไม่มีคะแนนนะ เพราะเราไม่รู้จะให้คะแนนหนังเรื่องนี้ยังไงจริงๆ เราไม่อยากให้คะแนนหนังที่เรายังไม่เข้าใจมันจริงๆ ไม่อยากทรยศเรื่องราวของมัน เลยอยากจะมาบอกเล่า บอกความรู้สึกสักหน่อยละกัน
TENET เป็นหนังของ Christopher Nolan เป็นเรื่องราวของคนที่กำลังจะหยุดยั้งไม่ให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 จากอุปกรณ์บางอย่าง เล่าแค่นี้ละกัน
นับได้ว่า TENET เป็นหนังใหญ่เรื่องแรกหลังจากการกลับมาเปิดโรงหนังหลังสถานการณ์ Covid-19 ที่มันไม่ใช่แค่หนังใหญ่เท่านั้น ด้วยชื่อชั้นของ Christopher Nolan มันขายได้อยู่แล้ว ดูหนังออนไลน์ มันยิ่งทำให้อยากออกมาใช้โรงหนังกันมากขึ้น เป็นปรากฏการณ์อีกครั้งหลังจากที่ไม่ได้เห็นมานาน เอาจริงๆ คือไม่เห็นคนมาดูหนังคนเยอะมากมานานแล้วเหมือนกัน
เข้าเรื่องเลย คือหนังเรื่องนี้บอกตรงๆ ว่าดูรอบแรกไม่เข้าใจ และไม่รู้ด้วยว่าถ้าไปดูรอบ 2 จะเข้าใจหรือเปล่า หรืออาจต้องดู 3-4-5-6 รอบถึงจะเข้าใจมันทั้งหมด
หนังมีความยาว 2 ชั่วโมงครึ่งเลยทีเดียว แต่ด้วยความยาวนั้นมันไม่มีช่วงที่น่าเบื่อเลยจริงๆ เพราะบทพูดแต่ละอย่างมันสำคัญและส่งผลกับเนื้อเรื่องมาก บางฉากเป็น Hint บอกไบ้อะไรบางอย่าง บางฉากก็พูดเรื่องทฤษฏี ที่อารมณ์เหมือนเข้าไปนั่งเรียนในห้องเรียนวิชาที่เราไม่เข้าใจเลย พ่นกันไฟแลปมาก ทันบ้าง ไม่ทันบ้าง ถึงทันก็ยังคงมีหลายจุดที่งงๆ
แต่การดำเนินเรื่องมันไม่ได้เข้าใจยากอะไรหรอก มันเข้าใจยากตรงสถานการณ์แต่ละอย่างที่มันเกิดขึ้นนี่แหละ มีในฉากนึงบอกว่า "อย่าใช้ความเข้าใจ ให้ใช้ความรู้สึก" เปิดเรื่องมายังพอเข้าใจ ผ่านไปไม่ถึง 10 นาที งองูสองตัวเริ่มชนกันละ และเริ่มชนกันบ่อยขึ้นเรื่อยๆ ตามที่หนังดำเนินไป 555 คือพอดูมันก็เหมือนจะเข้าใจนะ แต่พอมันคิดต่อว่า เห้ยทำไมเป็นงั้น ทำไมเป็นงี้ มันก็ไม่เข้าใจเฉยเลย 555 หนังมีการพูดถึงเรื่อง Entropy เอย Paradox เอย คือไม่เข้าใจเลยช่วงนั้น
ยิ่งช่วงท้ายของหนังนี่ทุกอย่างมันรวดเร็วมาก มีอะไรเกิดขึ้นเยอะแยะไปหมด ใครเป็นใคร ใครทำอะไร อะไรเกิดขึ้นบ้าง ทำไมเกิดแบบนั้น ทำไมเกิดแบบนี้ ยิ่งฉากคุยกันของตัวเอกตอนเกือบจบเรื่องนี่ยิ่งโคตรงง พูดไรกันวะ?
เราไม่ได้เข้าใจหรือตกผลึกมันอย่างถ่องแท้ก็จริง แต่หลังจากหนังจบได้นั่งคุย นั่งถกกันก็ให้ความรู้สึกสนุกนะ แล้วก็ได้รู้สิ่งที่คนอื่นคิด รวมถึงได้บอกเล่าสิ่งที่เราคิด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็คือการคาดเดา การคาดคะเน สิ่งที่น่าจะเป็น และก็ไม่รู้ว่ามันจะใช่อย่างที่เราคิดจริงๆ หรือเปล่า แต่เอาเป็นว่าดูจบคุยกับเพื่อนได้ยาวๆ เลย
ไม่รู้มันจะกลายเป็นจุดด้อยของหนังหรือเปล่ากับบทที่มันเข้าใจยากขนาดนี้ มัน High Concept มาก แต่ที่แน่ๆ Nolan แกต้องมีกระบวนการความคิดแบบไหนเนี่ยที่ถึงนึกเรื่องราวแบบนี้ออกมาได้ ปกติหนังยิ่งดูยิ่งคลายปม เรื่องนี้ยิ่งดูยิ่งงง 5555
หนังมีฉากแอ็คชันที่น่าทึ่งมาก ไม่ว่าจะฉากแอ็คชันระหว่างทางหรือฉากแอ็คชันช่วงท้ายเรื่อง มันคือความสร้างสรรค์ ความทะเยอทะยาน ความบ้ากล้าทำของ Nolan นี่แหละ
แต่สิ่งที่สัมผัสได้แน่ๆ และยอดเยี่ยมสุดๆ คือดนตรีประกอบจากการประพันธ์ของ Ludwig Göransson ที่ออกแบบดนตรีออกมาได้เท่ ระทึก ตื่นเต้น และยอดเยี่ยมสุดๆ
อีกหนึ่งสิ่งที่ชัดเจนและสัมผัสได้คือฝีไม้ลายมือการแสดงของเหล่านักแสดงนำ เริ่มตั้งแต่ John David Washington ในบทตัวเอก (The Protagonist) ที่เล่นได้ดีนะ แต่ไม่มีบทส่งให้น่าจดจำอะไรขนาดนั้น แต่สิ่งที่น่าชื่นชมสุดๆ คือการแสดงของ Robert Pattinson ในบท Neil เป็นตัวละครที่มีเสน่ห์และน่าสนใจมากๆ คือเราไม่เคยชอบการแสดงบท Edward Callen ในแฟรนไชส์ Twilight ของเขาเลย แต่การแสดงช่วงหลังๆ ของเขามันยอดเยี่ยมมาก ที่ผ่านมาใน The Lighthouse ก็ยอดเยี่ยม และในเรื่องนี้ก็แสดงออกมาได้ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน เขาคือนักแสดงคุณภาพจริงๆ และบทนางเอก Elizabeth Debicki เธอสวยมากถึงมากที่สุด สูงนางแบบมาก การแสดงของเธอก็ไม่ธรรมดา
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น